ธรรมสายพิราบ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์บนศาลา วันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๖
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรมนะ
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นธรรมโอสถสามารถปลดทุกข์ แก้ทุกข์ และทำให้พ้นจากทุกข์ได้ สิ่งที่มีคุณธรรมไง สิ่งที่มีอำนาจวาสนา สัจธรรมะที่องค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ทุกคนมองข้ามไปหมดไง ทุกคนมองเห็นแต่โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ ตอนนี้ เห็นไหม พระพุทธศาสนาแวววาว น่าเคารพบูชามาก
สายมูๆ ไปกราบเทพ กราบผู้ที่คอยปกป้องพระพุทธศาสนา พวกเทพารักษ์ พวกเทพต่างๆ เป็นคนดูแลศาล เป็นคนดูแลปกป้องพระพุทธศาสนา แล้วพระพุทธศาสนาสิ่งที่มีคุณค่า แต่มันไม่รู้ ไม่รู้เรื่อง มันเศร้าใจไง ถ้ามันเศร้าใจเพราะอะไร เพราะคนเกิด เห็นไหม จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมีอำนาจวาสนาหรือไม่ ถ้าไม่มีอำนาจวาสนา เห็นไหม ทั้งๆ ที่เกิด เกิดในประเทศอันสมควร เกิดในดินแดนของพระพุทธศาสนา มีวัดมีวามากมายมหาศาล เข้าวัดเข้าวาขึ้นมา พระพุทธรูปไม่เห็น เห็นแต่ผู้ที่คุ้มครองดูแลพระพุทธรูป แล้วให้ผลนะ ให้ลาภ ให้สักการะ
แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว คนที่เขาจะประสบความสำเร็จในชีวิตของเขา เขาได้สร้างคุณงามความดีของเขามา สร้างคุณงามความดีของเขามาแล้ว ในชาติปัจจุบันนี้เขายังมีอำนาจวาสนา เขามีศีลมีธรรมของเขาในหัวใจของเขา ถ้ามีประสบความสำเร็จในชีวิต เห็นไหม นั่นก็เขาทำของเขามา แล้วทำต่อเนื่องกันไป ต่อเนื่องไป
พระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย สิ่งที่สาวก สาวกะ ผู้ที่ได้ยินได้ฟังขึ้นมา เห็นไหม ถ้ามีอำนาจวาสนา มีอำนาจวาสนามันจะมีหัวใจ มีจิตใจ เห็นไหม ที่ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ไง
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วไง สั่งพระอานนท์ไว้ไง “อานนท์ ธรรมและวินัยจะเป็นศาสดาของเธอนะ เธอไม่ต้องไปเรียกร้อง วิงวอน อ้อนวอนขอจากใครทั้งสิ้น ธรรมและวินัยที่เราตรัสไว้ดีแล้ว ถ้าใครศึกษา ไปศึกษาธรรมะ ไปปฏิบัติธรรมไง ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์เลย”
สิ่งที่เป็นสัจธรรมๆ เห็นไหม เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนาไง ถ้ามีอำนาจวาสนา เห็นไหม เป็นประเพณีวัฒนธรรม มันก็ซับซึมเข้าไปในจริตนิสัยของชาวพุทธอยู่แล้ว แล้วชาวพุทธอยู่แล้ว เห็นไหม เวลาเมื่อก่อน เห็นไหม ภาษามคธและบาลีมันเข้าถึงได้ยาก เวลาประเทศ เห็นไหม ชาติเจริญขึ้นมา พระจอมเกล้าฯ เป็นผู้แปลเป็นภาษาไทย พิมพ์เป็นฉบับแรกนี่สยามรัฐ พอแปลเป็นภาษาไทย เราก็อ่านเป็นภาษาไทยกันไง
นี่ศึกษา ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ-เจ้า ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเราๆ ถ้าคนมันมีอำนาจวาสนาไง มันก็เป็นหน้าที่ของพระๆ หน้าที่ของคนที่มีเขามีวาสนาของเขา เขาก็ไปศึกษาไปค้นคว้าของเขานั่นเป็นภาคปริยัติ เวลาภาคปริยัติขึ้นมาแล้วพระพุทธศาสนามันมีคุณค่ามากเกินไปจนกว่าชาวพุทธจะเข้าใจได้ “นิพพานมีอยู่จริงหรือ นรกสวรรค์จริงหรือเปล่า” แล้วไอ้คนที่ปกป้องพระพุทธศาสนานั่นแหละเขาทำดีทำชั่วของเขา เขาถึงมาเป็นเทพารักษ์ เขาถึงมาคุ้มครองพระพุทธ-ศาสนา เพราะเขาคุ้มครองพระพุทธศาสนาไง
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการไง เทวดา อินทร์ พรหม บรรลุธรรมมากมาย หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเทศนาว่าการขึ้นมา เห็นไหม เทวดา อินทร์ พรหมเขามาฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัยที่พวกสายมูสายเมอปกป้องคุ้มครองอยู่นี่ แต่มันไม่รู้จัก เวลาเราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษาแล้วๆ ไง ศึกษา ศึกษามาเป็นประเพณีวัฒนธรรม สิ่งที่เป็นประเพณีวัฒนธรรมนะ สิ่งที่ใครมีอำนาจวาสนาขึ้นมา เขาจะศึกษาค้นคว้าของเขาเป็นภาคปริยัติของเขา ถ้าเป็นภาคปริยัติของเขา คนที่ เห็นไหม จิตใจนุ่มนวลอ่อนหวานทำสิ่งใดแล้วดูมันดีงาม
ถ้าจิตใจของคน เห็นไหม ถ้าสติปัญญาไม่เท่าทันมันไม่เชื่อ แล้วมันอยู่ข้างนอกไง แต่เวลาทุกข์มันอยู่ข้างในไง เวลามันทุกข์มันยากขึ้นมา จิตใจของเรามันทุกข์มันยาก แล้วศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาไง ศึกษามาแล้วมันเป็นจริตเป็นนิสัย เห็นไหม คนที่นุ่มนวลอ่อนหวานเขาก็คิดว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมๆ ไง สิ่งที่เป็นธรรมรู้ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้า เรียบเรียง เรียงความได้ทั้งนั้น แต่ใช้ ใช้ขึ้นมาไม่เป็น เพราะอะไร
ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาตามความเป็นจริงขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา เขาก็ “มันมีอยู่จริงหรือไม่ มันทำได้หรือไม่” กิเลสมันลังเลสงสัยไปทั้งสิ้น ถ้ากิเลสมันลังเลสงสัยขึ้นมา เห็นไหม ศึกษามาแล้วๆ มันก็อยู่ที่คนตื้นลึกหนาบางแตกต่างกันไป ถ้าคนที่เขาลึกซึ้งของเขา สิ่งใดที่ประพฤติปฏิบัติถ้ามันไม่เป็นความจริงนะ เขาจะวางไว้ เขาจะศึกษาผลของเขา แล้วถ้าศึกษาแล้ว เห็นไหม เพราะว่าศึกษาค้นคว้าแล้ว เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กาลามสูตร ห้ามเชื่อๆ ความเชื่อแก้กิเลสไม่ได้
แต่โดยข้อเท็จจริงนะ ถ้าไม่มีศรัทธาความเชื่อ เวลาองค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการไงว่า ศรัทธาๆ มันเป็นอริยทรัพย์เลยล่ะ ถ้าไม่มีศรัทธาเราก็ไม่ศึกษา เราก็ไม่ค้นคว้า เราก็ไม่ทดสอบไง แล้วไม่ทดสอบแล้วให้กิเลสมันครอบงำอยู่อย่างนั้นไง เพราะมีศรัทธาความเชื่อเราถึงได้ศึกษาค้นคว้าของเรา ศึกษาค้นคว้าของเรามันมีจริงหรือไม่จริง
เวลามันตกทุกข์ได้ยากขึ้นมา เห็นไหม จะหาที่พึ่งที่อาศัย แล้วอะไรจะเป็นที่พึ่งที่อาศัยของเราได้ไง สิ่งที่เราแสวงหามาเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย เห็นไหม มันทำดีก็ได้ ทำชั่วก็ได้ แต่มันสำคัญ สำคัญที่เจตนาของจิตต่างหาก ถ้าจิตมันมีเจตนาที่ดีงาม รักษาจิตใจของตนเอง มันจะไปทำชั่วได้อย่างไร มันทำชั่วไม่ได้
นี่ถ้ามีสติมีปัญญา ถ้าศึกษาค้นคว้าแล้วมันจะย้อนกลับเข้ามาที่หัวใจของตน ถ้าย้อนกลับมาที่หัวใจของตน เห็นไหม คนนั้นจะผิดชอบชั่วดี เห็นผิดเป็นผิด เห็นชอบเป็นชอบ รู้จักผิดชอบชั่วดี นี่คนดี คนดี เห็นไหม คนดีก็คือคนดีไง ถ้าคนดี เห็นไหม สิ่งที่ว่าเขามีศีลมีธรรมของเขา เขามีศีลมีธรรมของเขา มันก็เป็นศีลธรรมของทางฆราวาส
ถ้าเป็นพระศึกษาเล่าเรียนมาจนจบ ๙ ประโยค ศึกษาอยู่ทางปกครอง เห็นไหม อยู่ทางเผยแผ่ธรรมะ เห็นไหม ก็ว่านั่นเป็นธรรมะๆ มันเป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิต เป็นที่น่าเคารพบูชา แล้วว่ามีความรู้มากๆ มันรู้อะไร มันหนักความรู้ของตนต่างหาก ศึกษามาเป็นภาคปริยัติ ปริยัติเจอภาคปฏิบัติ เวลาภาคปฏิบัตินะเวลาจะปฏิบัติปฏิบัติอย่างไร ก็ตรึกในธรรมไง ก็ปริยัติที่ศึกษามาก็ทรงจำธรรมวินัย มันก็เป็นธรรมๆ ไง ธรรมที่ไหน มันก็เป็นประเพณีวัฒนธรรมไง เพราะว่าไม่มีวาสนาไง
ถ้ามีวาสนานะ เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม ธรรมสายพิราบ มันเป็นสิทธิเสรีภาพ มันเป็นสันติภาพ ก็ศึกษามา ก็สันติภาพ ดูโลกนี้สิ สงครามโลกเกิดมากี่รอบแล้ว พอสงครามโลกเกิดขึ้นมาแล้ว เห็นไหม เซ็นสัญญาสันติภาพ สันติภาพมันจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อสงครามสงบสิ้นไปแล้ว มีแพ้มีชนะนะ เป็นสิทธิเสรีภาพ เป็นสันติภาพ
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามหัศจรรย์ มันมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา เห็นไหม นี่อภัยทาน เห็นไหม เป็นทานที่สูงส่งมาก เป็นสิทธิเสรีภาพ เป็นสันติภาพ สันติภาพจากอะไร สันติภาพจากพญามารไง มารมันป้อนให้ สันติภาพ เสรีภาพนั่นน่ะ มันหลอกมันลวงให้จมอยู่ในอำนาจของมันไง แล้วความจริงมันอยู่ไหน มีสิทธิเสรีภาพสันติภาพมันอยู่ไหน อะไรเป็นสิทธิเสรีภาพ อะไรเป็นสันติภาพ มันเป็นความจริงอยู่ที่ไหน
จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวลาเราเกิดมาแล้ว เห็นไหม เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ ก็รื้อหัวใจของสัตว์โลกเรานี่แหละ ถ้ารื้อหัวใจของสัตว์โลกเรานี่ เรามีศรัทธาความเชื่อมากน้อยขนาดไหน ถ้ามีศรัทธาความเชื่อ ศึกษาค้นคว้าขึ้นมาก็มันอยู่ที่วาสนาของคน ถ้าวาสนาของคน เห็นไหม ประพฤติปฏิบัติไม่ได้ก็เรื่องหนึ่ง เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นไป เห็นไหม เหลวไหล เหลวไหลเพราะอ่อนแอ เพราะกิเลสมันครอบงำ เพราะครอบงำ เห็นไหม
เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติ โดยความเป็นจริงเป็นจังของท่านขึ้นมานะ ท่านบอกว่าต้องพุทโธ พุทโธ พุทโธไวๆ พุทโธไวๆ พุทโธไวๆ ให้จิตสงบระงับเข้ามา ถ้าจิตสงบระงับ เข้ามา ศีล สมาธิ ปัญญา มันจะศึกษา ฝึกหัดศึกษาค้นคว้าให้มันเป็นสัจจะความจริงขึ้นมาให้ได้
แล้วคนที่ เห็นไหม ธรรมสายพิราบมันทำพุทโธไม่ได้ พุทโธ พุทโธมันเครียดไปหมด ศรัทธาจริต พุทธจริต ถ้าพุทธจริต เห็นไหม มีสติมีปัญญา พุทโธๆ ไม่มีเหตุไม่มีผล เป็นกำปั้นทุบดิน มันทำแล้วมันตึงเครียดในหัวใจของตน ทำสิ่งใดไม่ได้เลย เวลามันตรึกในธรรมไง ตรึกในธรรม ใช้สติ ใช้ปัญญา จะมีสิทธิเสรีภาพ จะเป็นสันติภาพ
ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติ ฝ่ายเจโตวิมุตติเขาไม่เชื่อ ไอ้ที่ใช้อารมณ์ความคิดอยู่นั้นน่ะ เวลาเพ่งก็เพ่ง จิตดูจิตนั่นน่ะมันเป็นไปได้อย่างไร ถ้าเพ่งจิตมันก็นั่งหลับไง ถ้าใช้สัญญาอารมณ์คิดไปไง มันจะเกิดเสรีภาพ มันจะเกิดสันติภาพ นั่งหลับหมด ทำไปเถอะ เพราะไม่มีสติไม่มีปัญญาไง
เวลาครูบาอาจารย์ เห็นไหม ธรรมสายพิราบ ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา ศึกษามาแล้ว ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา “เราเป็นผู้ชี้ทางเท่านั้น เธอต่างหากเป็นผู้ที่ฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมา” ถ้าเวลาเธอเป็นผู้ฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมา เวลาครูบาอาจารย์ท่านอบรมบ่มเพาะไง หลวงปู่มั่นๆ ท่านชี้ให้หมดล่ะ เวลาคนที่มีอำนาจวาสนามากน้อยขนาดไหน ถ้ามีอำนาจวาสนาให้พุทโธๆๆ เวลาครูบาอาจารย์ที่มันมีกิเลส ที่คอยเป็นเยื่อเป็นใยให้บริกรรมยาวๆ แล้วถ้าใครนั่งหลับ ใครปฏิบัติไม่ได้ ให้ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ
ปัญญาอบรมสมาธิ เวลามันคิด เวลาเพ่งจิตๆ เพ่งจิตเพ่งอะไร ความรู้สึกนึกคิดเพ่งอยู่อย่างนั้น แล้วเวลาเพ่งแล้วมันเหมือนเพ่งกสิณ พอเพ่งกสิณแล้วมันก็เพ่งที่อารมณ์ความรู้สึก ไม่ได้เพ่งถึงจิตไง เพราะ เพราะจิตกำหนดให้เพ่ง สัญญาอารมณ์ มันเป็นสัญญา สัญญาอารมณ์ทั้งสิ้น มันเป็นอารมณ์ความรู้สึก อารมณ์ไม่ใช่จิต แล้วอารมณ์ก็เป็นอารมณ์อยู่อย่างนั้น แล้วมันก็คิดตามอารมณ์นั้นไปไง พอมันคิดตามอารมณ์ไป คิดได้ทั้งนั้น คิดธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคิดได้ร้อยแปดเลย แล้วก็นั่งหลับ หลับหมดล่ะ มันจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูกไง
เวลาครูบาอาจารย์ท่านสอนปัญญาอบรมสมาธินะ ฝึกหัดประพฤติปฏิบัติมีศรัทธาความเชื่อของเรา นี่ธรรมสายพิราบ ในเมื่อมันพุทโธไวๆ พุทโธไวๆ เวลาพุทโธหายใจเข้านึกพุท หายใจออกโธ มันทำแล้วมันตึงเครียดของมันแล้วมันสงบไม่ได้ เวลาสงบแล้วล้มลุกคลุกคลานอยู่อย่างนั้น ศีล สมาธิ ปัญญา
ครูบาอาจารย์ที่เป็นครอบครัวกรรมฐาน เวลาครอบครัวกรรมฐาน กองทัพธรรมๆ เวลาที่ออกเผยแผ่ เห็นไหม ประชุมกัน เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านให้ฝึกหัดไว้ให้เป็นจริตเป็นนิสัย แล้วรวบรวมขึ้นมาให้หลวงปู่สิงห์ ท่านอาจารย์มหาปิ่น เห็นไหม คอยเป็นข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นแนวทาง เป็นแนวทางไป เห็นไหม ให้ปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นความจริงขึ้นมา
แล้วความจริงขึ้นมา ทำความสงบของใจเข้ามาก่อน ถ้าทำความสงบของใจได้ กองทัพธรรมๆ ผู้ที่มีสติมีสมาธิขึ้นมา เวลาเผยแผ่ธรรมๆ กองทัพธรรมให้เลิกถือผีถือสาง การถือผีถือสางมันก็มีผีมีสาง มีผีมีสางเพราะ เพราะอะไร เพราะคนไปเคารพบูชามันก็ดูเข้มข้น ดูอภินิหาร สายมูๆ พวกนี้พวกคุ้มครองดูแลพระพุทธศาสนาทั้งนั้น เข้าใกล้พระพุทธศาสนาไม่ได้ กลัว แต่เวลาจะหาผลประโยชน์ขึ้นมาไง เพราะเป็นโลกแห่งจิตวิญญาณถือผีถือสาง ไปเคารพบูชาเขา กองทัพธรรมๆ บอกว่า “ให้เลิกนับถือ ให้มีศีล ๕ ให้ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้ถึงรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่อาศัย พระพุทธศาสนาให้เป็นคนที่ฉลาดมีอิสรภาพ ไม่ต้องไปอยู่ใต้กฎกติกาให้ใครครอบงำทั้งสิ้น” นี่ไง กองทัพธรรมๆ ไง นี่พูดถึงครอบครัวกรรมฐาน
แล้วเวลาคนที่มีศรัทธาความเชื่อในพระพุทธศาสนาอยากจะเป็นธรรมทายาทไง พอบวชเข้ามา เห็นไหม ข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมาให้ทำความสงบของใจเข้ามาก่อนๆ ถ้าใจสงบระงับเข้ามา ใจสงบระงับมันจะเห็นโทษเลยล่ะ ไอ้ภูตผีปีศาจหรือผีสางนั้นน่ะนั่นก็จิตวิญญาณ แล้วจิตวิญญาณที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะก็จิตของเราดวงหนึ่งเหมือนกัน
ขณะในชาติปัจจุบันนี้ เรามีอำนาจวาสนา เราได้มาเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราไม่ถือมงคลตื่นข่าว ไม่ถือเคารพนอกจากพระพุทธศาสนา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เท่านั้น ถือศีล ๕ ถือศีล ๕ ขึ้นมามีศีลที่บริสุทธิ์ แล้วทำมาหากินไป ถ้ามีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง เห็นไหม ระลึกถึงศีล ศีลธรรมของเราคุ้มครองดูแลเรา พ้นจากเภทภัยต่างๆ แล้วประกอบสัมมาอาชีวะจนเป็นประเทศชาติที่มั่นคงขึ้นมาจากข้อวัตรปฏิบัติ
เวลาธรรมสายพิราบไง พุทโธก็ไม่ได้ ทำสิ่งใดก็ไม่ได้ ถ้าไม่ได้ขึ้นมาให้ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ไม่ใช่เพ่งจิต ไม่ใช่เพ่งอารมณ์ ไม่ใช่คิดตามอารมณ์นั้น อารมณ์ก็อารมณ์ของกิเลสไง พญามารๆ มันปล่อยใครให้เป็นอิสระบ้าง เวลาเกิดมาเป็นมนุษย์ได้พบกับพระพุทธศาสนาไง การเกิดมาเป็นมนุษย์จริงตามสมมุติ มนุษย์มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ คือความรู้สึกนึกคิด แล้วธาตุ ๔ ธาตุ ๔ ก็ร่างกายนี้ไง พอการเกิดมันมีกายกับใจนี่ไง ถ้ามีกายกับใจขึ้นมา เห็นไหม แล้วมีอำนาจวาสนาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจะทำให้มันเข้มข้นรุนแรงให้เป็นเจโตวิมุตติ ศีล สมาธิ ปัญญา มันก็ทำไม่ได้ ล้มลุกคลุกคลาน แล้วสิ่งใดที่จะเป็นประโยชน์กับเรามันกลับไม่เป็นประโยชน์ไง
แต่เวลาเราฝึกหัดมีครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า ให้ฝึกหัดใช้ปัญญาอบรมสมาธิๆ ปัญญาไม่ใช่อารมณ์ อารมณ์ตรงที่มันรู้สึกนึกคิดเพราะอะไร อารมณ์ก็จำมาไง ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าภาคปริยัติๆ นั่นอารมณ์ความรู้สึกทั้งนั้น แล้วมันเกิดปัญญาไหม มันไม่เกิดปัญญาเพราะอะไร เพราะมันไม่รู้แจ้ง มันไม่เข้าใจสัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ศึกษามาแล้วนะ กลับคัดค้าน กลับไม่เห็นด้วย “มรรคผลนิพพานมีอยู่จริงหรือ นรกสวรรค์มีหรือ ชาติภพมีจริงหรือ” สงสัยทั้งนั้น แต่ถ้าพยายามฝึกหัดทำความสงบของใจให้ได้ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิๆ
แต่ถ้าเป็นสายเหยี่ยว นี่ เห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญาจะเกิดขึ้นต่อเมื่อจิตมีความสงบระงับเข้ามา ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ แล้วถ้าเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง เพราะว่าจิตสงบนั้นด้วยคำบริกรรม พุทโธไวๆ พุทโธชัดๆ พุทโธพร้อมกับลมหายใจเข้าและลมหายใจออก เวลาทำแล้วแต่จังหวะและโอกาสของจิตที่มีกำลังแล้วทำต่อเนื่องขึ้นไป แล้วพอจิตมันสงบ โอ้โฮ! มันลึกลับซับซ้อน มันละเอียด โอ้โฮ! มันโล่ง มันโถง มันเข้าใจของมันหมด มันจะไปรู้ไปเห็นนิมิตต่างๆ เขาแก้ไขของเขามาจนเข้าสู่สัมมาสมาธิได้
ปัญญาอบรมสมาธิๆ สิ่งที่ว่าเป็นอารมณ์ เห็นไหม อารมณ์คืออารมณ์ความรู้สึก ความรู้สึกนึกคิด พอความรู้สึกนึกคิดขึ้นมานี่ เราตั้งสติของเราไว้สิ พอเราตั้งสติของเราไว้นี่เวลาอารมณ์สิ่งใดเกิดขึ้นมา เห็นไหม สติมันเท่าทันอารมณ์นั้นไง แล้วอารมณ์นั้นมันเกิดดับๆๆ เห็นไหม สัญญาอารมณ์เกิดจากจิต ไม่ใช่จิต มันเกิดมาจากจิตนั่นแหละ
คนมีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ถ้ามีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ เห็นไหม เรามีสติมีปัญญาขึ้นมา ปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญามันเท่าทันกับความรู้สึกนึกคิด ฝึกหัดไป เริ่มต้นล้มลุกคลุกคลาน เพราะอะไร เพราะพญามารเจ้าวัฏจักรมันครอบงำหัวใจนี้มาหมดจบสิ้น พอจบสิ้นขึ้นมา เห็นไหม มันก็เลยเป็นปุถุชนคนหนาไง ปุถุชนเป็นมนุษย์ธรรมดา มนุษย์ธรรมดามาบวชเป็นพระ มนุษย์ธรรมดามาเป็นนักปฏิบัติ มันก็เป็นมนุษย์ธรรมดา มนุษย์ที่ไม่มีการศึกษาเขาก็มีประสบการณ์ชีวิตของเขา เขาศึกษาในชีวิตตามความเป็นจริงของเขา
ถ้าเราเป็นมนุษย์ขึ้นมา เราศึกษา เห็นไหม เรามีสติมีปัญญามีความรู้ ยิ่งมีความรู้มากน้อยขนาดไหน กิเลสมันก็เอาสิ่งนั้นมาใช้เป็นผลประโยชน์กับมัน ยิ่งด้วยเหตุด้วยผล คิดไม่เชื่อคิดคัดคิดค้านไปทั้งนั้น ตั้งสติไว้ เวลามีอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ให้เท่าทันกับความรู้สึกนั้น แล้วถ้าฝึกหัดๆ จนเข้มแข็งและแข็งแรง ถ้ามันเข้มแข็งและแข็งแรงมันจะเท่าทันกับความคิดแล้ว แต่เดิมความคิดมันมีอำนาจมากกว่า อำนาจเพราะอะไร ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของคน จริตนิสัยของคนมันแตกต่างกันไปจากเวรกรรม พันธุกรรมของจิตๆ
แล้วเวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่ให้พุทโธไวๆ พุทโธชัดๆ พุทโธพร้อมกับลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ให้กำหนดมรณานุสติ เทวดานุสตินั้นคือคำบริกรรม นั้นคือธรรมสายเหยี่ยว เหยี่ยวเขาทำกันอย่างนั้น แล้วเป็นมรรคเป็นผลขึ้นมาโดยข้อเท็จจริง ถ้าทำความเป็นจริง ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
ธรรมสายพิราบๆ มันทำอย่างนั้นไม่ได้ มันทำไม่ได้เพราะอะไร มันทำไม่ได้เพราะจริตนิสัย มันทำไม่ได้เพราะต้นเหตุของจิตมันทำแล้วมันไม่ได้ผลอย่างนั้น แล้วถ้าไม่ได้ผลอย่างนั้นทำไปแล้วก็จะล้มลุกคลุกคลานอยู่อย่างนั้น ถ้าล้มลุกคลุกคลานก็ตั้งสติไว้ นี่ตรึกในธรรมๆ เวลาครูบาอาจารย์ถ้าบอกว่าใช้แต่อารมณ์ความรู้สึก คิดแต่ตามอารมณ์นั้นแล้วมันก็ไปหลับ หลับจริงๆ นั่งหลับหมดล่ะ แต่ถ้าฝึกหัดไว้ เริ่มต้นมันก็ล้มลุกคลุกคลาน ความคิดคือความคิด แต่เดิมความคิดคือความคิด คนที่มีความคิด เห็นไหม ความโลภ ความโกรธ ความหลงในหัวใจของตน ถ้าความโลภ ความโกรธ ความหลงในหัวใจของตนมันรุนแรง มันก็คิดไปตามนั้น
แต่ถ้ามันมีวาสนานะ คนที่มีวาสนาคือคนที่มีสติสัมปชัญญะ เวลามันคิดแล้วนี่มันเท่าทันความคิดของตน เท่าทันความคิดนะ จะคิดเรื่องดี จะคิดเรื่องร้าย จะคิดเรื่องชั่ว จะคิดเรื่องบุญ เรื่องกุศล จะศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้นเหมือนกันหมด เพราะมันคิดในฐานะของปุถุชน แต่ถ้ามันคิดแล้วมันเป็นประโยชน์ทั้งหมด ทำไมผู้ที่ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจบ ๙ ประโยคแล้วก็สอนเรื่องมรรคเรื่องผล เรื่องกามภพ รูปภพ อรูปภพ เรื่องอริยสัจ เรื่องสัจจะ เรื่องความจริง แล้วเขาเชื่อไหม ถ้าเขาเชื่อทำไมเขาเหลวไหล เวลาประพฤติปฏิบัตินะ วัดป่า วัดบ้าน วัดบ้านเขาศึกษาค้นคว้ามาเพื่อเป็นสติปัญญา เพื่อเผยแผ่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเป็นสิทธิเสรีภาพ จะเป็นสันติภาพ โลกจะร่มเย็นเป็นสุข แต่ใจทุกข์น่าดูเลย
แต่พระกรรมฐานเวลาบวชมาจากพระอุปัชฌาย์แล้ว อุปัชฌาย์ให้ เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ นี่กรรมฐาน ๕ แล้วให้เข้าสู่รุกขมูลสู่ร่มไม้ชายป่าชายเขา แล้วถ้าฝึกหัดได้ พยายามฝึกหัดประพฤติปฏิบัติขึ้นมา แล้วเวลาฝึกหัดประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราก็ฝึกหัดปฏิบัติโดยข้อเท็จจริง
ในวงครอบครัวกรรมฐานก็กำหนดพุทโธนี่แหละ กำหนดลมหายใจเข้าออก ถ้ามันเป็นไปได้ มันมีความสงบสุขนั้นคือวาสนาของเขา แล้วเป็นได้เป็นครั้งเป็นคราว เพราะอะไร เพราะว่า เห็นไหม เวลาเข้าสมาธิ ออกสมาธิ เวลาจิตสงบระงับแล้วเดี๋ยวมันฟุ้งซ่าน แล้วคนเราในทางโลกอารมณ์ชั่ววูบๆ เขาไปเจออะไรกระทบกับจิตใจของเขา เวลาเขาควบคุมไม่ได้ อารมณ์ชั่ววูบ เขาสร้างเวรสร้างกรรมมากมายมหาศาล
อันนี้ของเรา เรามีศรัทธาความเชื่อในพระพุทธศาสนา แล้วเราประพฤติปฏิบัติแล้วสิ่งนั้นมันเป็นหนทาง เป็นกรรมของสัตว์ที่ได้สร้างเวรสร้างกรรมมา เขาทำประสบความสำเร็จของเขาก็สาธุ แต่ของเราจะทำสิ่งใดก็ล้มลุกคลุกคลานตลอด พุทโธๆ นี่มันเป็นข้อเท็จจริง กรรมฐาน ๔๐ ห้อง ปัญญาอบรมสมาธิๆ เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติมา ท่านได้ผลของท่านมา ท่านอธิบายของท่านไง พุทโธๆๆ นี่เหมือนโค่นต้นไม้ เวลาโค่นต้นไม้ ถ้าเป็นต้นไม้ใหญ่เวลามันล้มนี่ตึงเลย ล้มดังตึ้ง! เพราะมันล้มไปทั้งต้น
แต่เวลาถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธินะ เราตัดกิ่งตัดก้านมาเป็นชิ้นเป็นอันลงมาเรื่อยๆ จนเหลือแต่โคน เห็นไหม เราค่อยๆ ตัดออก นี่ก็เหมือนกัน เราใช้สติใช้ปัญญาให้เท่าทันกับความคิดของตน เท่าทันความคิดของตน แล้วถ้ามันเริ่มเท่าทัน มันเริ่มเห็นโทษ พอเห็นโทษ ทำไมเราคิดได้ขนาดนี้ ทำไมเรามาทบทวนไง ทำไมบางทีมันคิดแล้วเราไม่ทันมัน ทำไมบางทีมันคิดมันทันมันล่ะ ก็การฝึกหัดไง ด้วยความรอบคอบ ด้วยสติปัญญาของเรา เห็นไหม นี่ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ
เวลาอบรมสมาธินะ ถ้ามันเท่าทันๆ แล้ว เห็นไหม มันมีสติมีปัญญาแล้ว ความคิดเกิดจากอะไร ความคิดมันธรรมชาตินะ ความคิดๆ โดยข้อเท็จจริง เห็นไหม มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ มันไหลไปตามมันจะผุดจะเกิดแล้วแต่ว่าหยาบละเอียดแตกต่างกันไป ถ้าคนที่ประพฤติปฏิบัติธรรมสายพิราบจะรู้จะเห็นหมด มันต้องรู้ต้องเห็น มันจะว่าตรึกในธรรมแล้วใช้สติปัญญาของเราโดยปุถุชนอย่างนี้ โดยธรรมชาตินี้แล้วมันจะเป็นสันติภาพ กิเลสมันไว้หน้าใคร กิเลสมันยอมปล่อยมือใครหลุดจากมือมันไป ไม่มีหรอก
แต่เราฝึกหัดๆ ขึ้นมา เห็นไหม ทำข้อวัตรปฏิบัติ นี่ครอบครัวกรรมฐานเหมือนกัน เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิของเรา ถ้ามันเท่าทันอารมณ์แล้วนี่อารมณ์มันเกิดได้อย่างไร สติปัญญามันก็หาเหตุหาผลของมันไป รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร เฮ้ย! เราขาดสติไปทันทีเลย เดี๋ยวเสียงภายนอกเสียงภายใน เสียงภายนอกก็เสียงติฉินนินทาจากภายนอก เสียงภายในคือเสียงที่เขาเคยติฉินนินทาแล้วก็เอามาปรุงกินอยู่อย่างนั้น แล้วมันปรุงขึ้นมาจิตใจมันก็ฟุ้งซ่าน จิตใจมันก็ทุกข์มันก็ยาก เฮ้ย! มันเกิดจากอะไรล่ะ
รูป รส กลิ่น เสียงเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร มันก็เกิดเพราะเราหลงใหลไง เราขาดสติไง สติปัญญามันเท่าทัน เห็นไหม เห็นโทษๆ แล้วก็ฝึกสติให้มันเข้มข้นขึ้นแข็งแรงขึ้น พอเข้มข้นขึ้นแข็งแรงขึ้นมันก็เห็นโทษ เห็นโทษรูป รส กลิ่น เสียง ทั้งๆ ที่ รูป รส กลิ่น เสียงในสมัยปัจจุบันนี้เป็นงาน งานโฆษณา งานประชาสัมพันธ์ เรื่องรูป รส กลิ่น เสียงทั้งนั้น เป็นอาชีพเขาได้ เป็นเงินเป็นทอง เป็นประโยชน์เขามากมายเลย
แต่! แต่ถ้าจิตของเรามันเป็นโทษ มันเป็นโทษเพราะมันทุกข์ มันทุกข์มันยาก มันเหน็ดมันเหนื่อยของมันเต็มที่เลย เราก็มีสติสัมปชัญญะของเราศึกษาค้นคว้า เห็นไหม พิจารณา ปัญญาอบรมสมาธิคือปัญญาคลี่คลายแยกแยะอารมณ์ๆ ถ้ามันคลี่คลายแยกแยะ เห็นไหม มันปล่อยวางได้ พออารมณ์มันปล่อยด้วยเหตุด้วยผลนี่คือปัญญาอบรมสมาธิ ธรรมสายพิราบ
ถ้ามันจะเป็นสิทธิ เป็นสันติภาพ เป็นเสรีภาพ มันต้องมีเหตุมีผลของมัน มีเหตุมีผลด้วยสติด้วยปัญญาของเรา ด้วยการฝึกหัดประพฤติปฏิบัติธรรมของเรา มันเท่าทันอารมณ์ความรู้สึกแล้วมันเท่าทัน เห็นไหม มันก็หยุดนะ คิดเท่าไรก็ไม่รู้ต้องหยุดคิด แค่หยุดนะ ถ้าหยุดแล้วเราก็พิจารณาต่อเนื่องไปจนมันเห็นโทษ รูป รส กลิ่น เสียงเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร สติปัญญามันเท่าทันนะมันจบเลย
แต่นี่มันกำหนดได้เลย เสียงก็คือเสียง รูปก็คือรูป รสก็คือรส ถ้าสติปัญญามันเท่าทัน เท่าทันมันก็รักษาใจของมันได้ ถ้ารักษาใจของมันได้นะ นี่ไง เวลาใช้สติปัญญา ปัญญาอบรมสมาธิถ้ามันเท่าทันมันหยุดนะ เดี๋ยวก็คิดต่อ แล้วเวลาฝึกหัดจะปฏิบัติอย่างไร เพราะ เพราะคนที่ฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ เพราะจิตมันไว จิตมันเร็วมาก ความคิดนี้เร็วมากแล้วเกิดกับเราขึ้นมา ถ้ามันหยุดแล้วมันยังไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เราก็พุทโธ พุทโธต่อเนื่องไป แล้วถ้ามันมีความรู้สึกนึกคิดเราก็จับได้ ถ้ามันเห็นความคิดมันจับความคิดได้ มันจับได้แล้วมันเท่าทันความคิด ฝึกหัดบ่อยครั้งเข้าๆ มันก็มีความสุขความสงบเพราะมันเป็นอิสระไง มันจะเป็นสิทธิเสรีภาพ เป็นสันติภาพ นี่สันติภาพแบบโลกๆ นะ สันติภาพแบบโลก ปุถุชนคนหนาถ้ามันเท่าทันๆ มันก็แปลกประหลาดกับความคิดของเราแล้ว เอ้อ! เอ้อ!
แต่ถ้าธรรมสายเหยี่ยวเขาเวลาพุทโธของเขา เขามรณา-นุสติของเขา เขากำหนดของเขา เวลาจิตมันสงบคือสงบ แล้วถ้าเกิดเขาเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม มันเห็นเป็นภาพเห็นเป็นต่างๆ เห็นไหม นั้นคือวิปัสสนาโดยเจโตวิมุตติ
ธรรมสายพิราบๆ นี่คือปัญญาวิมุตติ มันใช้ปัญญา ปัญญามันพิจารณาของมัน มันปล่อยมันวางของมัน มันปล่อยมันวางขนาดไหน เราหมั่นสังเกตความรู้สึกนึกคิด คิดเท่าไรก็ไม่รู้ต้องหยุดคิด ถ้าหยุดคิดมันหยุดของมันได้ นี่ธรรมสายพิราบ เพราะมันหยุดคิดๆ มีครูบาอาจารย์ท่าน หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านจะถามประจำ “จิตเป็นอย่างไรๆ”
“โฮย! มีความสุข มีความสงบ”
“สุขสงบอย่างไร”
เพราะอะไร เพราะสรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง เราเกิดเป็นมนุษย์เป็นสมมุติ เป็นสมมุติมันเป็นอนิจจังทั้งนั้น สิ่งใดเป็นอนิจจังสิ่งนั้นเป็นทุกข์ มีสมาธิแล้วสมาธิเสื่อมมันก็ทุกข์ ไม่มีสมาธิ กิเลสมันครอบงำอยู่ มันยิ่งทุกข์เข้าไปใหญ่เลย แล้วเวลาฝึกหัดขึ้นมามันเป็นสมาธิบ้าง ไม่เป็นสมาธิบ้าง เรามีสติมีปัญญารักษาของเรา
ถ้ารักษาของเรา เห็นไหม มันก็มีความสุขความสงบของเราไง ถ้ามีความสุขความสงบของเรา เห็นไหม เวลาจิตมันเห็น จิตต้องเห็น ถ้าจิตเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น “อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอๆ” เพราะมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นท่ามกลางหัวใจนั้น จิตมันสงบแล้วมันไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น นี่ไง กรรมฐานภาวนาไม่เป็นล้มลุกคลุกคลานอยู่อย่างนั้น แล้วเวลาส่งออกไป เห็นไหม มันเป็นอารมณ์ความรู้สึก อารมณ์ไม่ใช่จิต เห็นแต่อารมณ์ไง ดูจิตก็ดูอารมณ์ ไม่เห็นจิตหรอก
แต่ถ้าจิตมันสงบเข้ามานะ สงบบ่อยครั้งเข้า สงบบ่อยครั้งเข้า เป็นสัมมาสมาธิ เวลาเป็นสัมมาสมาธิแล้วมีสติมีปัญญาใคร่ครวญดูแลของเรานะ เวลาคิดเท่าไรไม่รู้ก็ต้องหยุดคิด จิตเห็นจิตเป็นมรรค เวลาจิตมันสงบแล้วถ้ามันเห็น อารมณ์ความรู้สึก เห็นไหม อารมณ์ความรู้สึก แต่ถ้าจิตมันเห็น จิตสงบแล้วเห็นธรรมารมณ์ เห็นธรรมๆ ถ้ามันเห็นธรรม เห็นธรรมก็ความคิดนั่นแหละ แต่ความคิดที่มันเห็น มันเห็นเป็นขันธ์ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
อารมณ์คืออารมณ์ รูปารมณ์ อารมณ์ความรู้สึก ถ้าอารมณ์ความรู้สึกถ้ามันจับอารมณ์นั้นได้ ธรรมสายพิราบเขาพิจารณาจิต จิตนี้เป็นธรรมารมณ์ เป็นธรรมารมณ์เพราะมันเป็นสัมมาสมาธิ เพราะจิตมันใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาใคร่ครวญความรู้สึกนึกคิด เห็นคุณเห็นโทษ แล้วมันวางอารมณ์ได้ๆ อารมณ์ไม่ใช่จิต แล้วถ้าจิตสงบแล้ว เวลามันเห็นนะ อารมณ์มันเกิดจากอะไร อารมณ์ก็ขันธ์ ๕ ไง
มนุษย์เกิดมามีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ รูปกับนาม สิ่งที่เป็นรูป มหาภูตรูปคือร่างกาย แล้วเวลาอารมณ์ความรู้สึกที่เป็นรูปล่ะ รูปนั้นเป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นนามธรรม จิต เวลาจิต จิตจักขุง อุทปาทิ เวลาจิตสงบแล้วจิตมีหูมีตา จิตเห็นอาการของจิต จิตจับอารมณ์ของตนเองได้ เห็นไหม ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ธาตุ ๔ นี่เราเห็นได้ เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง เวทนากาย เวทนาจิต ทุกข์กาย ทุกข์ใจ เวลาทุกข์กายๆ นั่งนานไปก็เมื่อยก็เจ็บก็ปวด ร่างกาย เห็นไหม เวลาใครกระทบกระเทือน กระทบกระเทือนร่างกายก็เวทนาของกายไง ทุกข์ของกายไง
เวลามันเครียด เวลามันทุกข์มันยาก เห็นไหม สิ่งที่กิเลสตัณหาความทะยานอยาก มารที่มันเหยียบย่ำหัวใจนั่นน่ะทุกข์ใจ ทุกข์ใจก็เวทนาไง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ร่างกายของคน คนตายแล้วซากศพเอาไปเผา ซากศพมันไม่ตีโพยตีพาย ไม่ร้องเรียกความช่วยเหลือใดๆ เลย มีแต่เผาผลาญมันไปทั้งนั้น
แต่ถ้าคนเป็น คนเป็นมันมีจิตวิญญาณ เวลาคนเป็นมีจิตวิญญาณนะ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าจิตสงบระงับแล้วเวลามันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม เห็นธรรม เห็นธรรม มันเห็นธรรมก็เห็นความคิดไง ความคิดก็เป็นขันธ์ ๕ ไง เวลาเป็นขันธ์ ๕ เห็นไหม เพราะคนมีกายกับใจไง แล้วเวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขันธ์อย่างหยาบ ขันธ์อย่างกลาง ขันธ์อย่างละเอียด รูปอย่างหยาบ รูปอย่างกลาง รูปอย่างละเอียด รูปเป็นภวาสวะ รูปเป็นภพเลย นี่ธรรมสายพิราบ
พิจารณาไป พิจารณา ถ้าจิตเห็นอาการของจิต จิตจับความรู้สึกนึกคิดของตนได้ แล้วความรู้สึกนึกคิด เห็นไหม ถ้าเป็นขันธ์ ขันธ์ เห็นไหม ขันธมาร ขันธ์มันมีมาร ขันธ์นี้มันพญามาร ลูกหลานของมาร มันเป็นครอบครัวของเขา เขาออกหาผลประโยชน์ของเขาไง กิเลส กิเลสอวิชชา ภวาสวะ ฐีติจิต กิเลสอยู่ที่ฐีติจิต เวลาจิต เห็นไหม จิตที่มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากเวลามันคิดออกมา เห็นไหม ออกมาถึงขันธ์อย่างหยาบ รูป รูปคือความอารมณ์รู้สึกนี่ไง แล้วพอจิตมันจับต้องได้ เห็นไหม มันจับความรู้สึกเลย ความรู้สึกประกอบไปด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รูปอันหนึ่ง เห็นไหม ความรู้สึกนึกคิดที่มันไวมากๆ พอจับรูปได้เราจะขยายอย่างไร
แต่เดิมปัญญาอบรมสมาธิ เราพิจารณาอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดนะ อารมณ์ความรู้สึกมันเป็นอารมณ์ของโลกๆ อารมณ์ของสมมุติ ของสมมุติเพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์ จริงตามสมมุติ จริงตามสมมุตินะ แล้วกิเลสมันก็ย่ำยีอยู่อย่างนั้นน่ะ แต่เรามีสติมีปัญญา ปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาอบรมสมาธิจนเห็นโทษของอารมณ์ความรู้สึก แล้วเราก็วางอารมณ์ความรู้สึกได้ แล้วฝึกหัดประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจนจิตเป็นสมาธิ
จิตเป็นสมาธิแล้วถ้ามีอำนาจวาสนานะ จิตเห็นอาการของจิต มันจะไปเห็นอารมณ์นั่นแหละ มันจับอารมณ์ได้ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนอารมณ์เป็นเรา ทุกอย่างเป็นเราหมดเลย แต่! แต่ถ้าเป็นสัมมาสมาธิจิตตั้งมั่น จิตตั้งมั่น เกิดจักขุง อุทปาทิ เกิดตาของใจ สิ่งที่เกิดขึ้นๆ นะ เห็นความคิด อ้าว! ความคิดกับจิตไม่ใช่อันเดียวกันหรือ มันจับของมันได้ พอมันจับของมันได้ มันจับของมันได้นะ จับได้แล้วก็พิจารณาอย่างไรล่ะ
ถ้าพิจารณานะ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รูปก็อารมณ์นี่ไง ความคิดเป็นรูป สมบูรณ์แบบมาก แต่ถ้ามีสติมีปัญญามันแยกเลยนะ รูปนี้มีเวทนา มีเวทนาคือสุข ทุกข์ มีตัณหา ตัณหาความทะยานอยาก ชอบใจ ไม่พอใจ พยายามผลักไส มีสัญญา ถ้าไม่มีสัญญา เด็กเกิดใหม่พ่อแม่จะสอนฝึกหัดพูด ฝึกหัดให้จำว่าสิ่งนั้นคืออะไร สิ่งนี้คืออะไร ชอบใจหรือไม่ชอบใจ มันเป็นจริตนิสัยเป็นสัญญา
ถ้าสัญญาเกิดขึ้น สังขารจะปรุง สังขารปรุง พอเรามีความคิดไง ความคิดก็เป็นอีกขันธ์หนึ่ง แล้ววิญญาณรับรู้ในขันธ์ ๕ วิญญาณรับรู้ในขันธ์ ๕ รับรู้รูป เวทนา สัญญา สังขาร รับรู้แล้วก็เป็นอารมณ์เป็นรูป รูปก็อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดไง นี่เป็นขันธ์ไง ถ้ามีสติปัญญาเท่าทันปัญญามันจะเข้าแทรกแซง แล้วมันแยกออก แยกออก ถ้ามันแยกออก แยกออกอย่างใด เห็นชัดๆ ความคิดเกิดไม่ได้ ความคิดเกิดไม่ได้หรอก ความคิดเกิดไม่ได้เพราะขันธ์มันแยกออกด้วยปัญญา
แต่ถ้าสติไม่เท่าทัน จบ หมุนอีกแล้ว พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ธรรมสายพิราบ เขามีสติมีปัญญาของเขานะ เขาแยกของเขาได้ ถ้าแยกของเขาได้มันเก้อๆ เขินๆ นะ ความรู้สึกนึกคิดมันไปไม่ได้ มันไปไม่ได้ ถ้ามีสติปัญญาแล้วถ้าสมาธิอ่อนลงมันไปแล้ว มันหมุนเต็มที่เลย พอมันหมุนเต็มที่มันก็เป็นอารมณ์ อารมณ์ที่มันเร็วมากเลยน่ะ เราสามารถยับยั้งได้หมด แล้วเราสามารถเอาอารมณ์แยกแยะออกไปเป็นขันธ์ เป็นกอง
มันหยาบๆ ความคิดแบบหยาบๆ อารมณ์ รูปแบบหยาบๆ ขันธ์อย่างหยาบ ถ้ามีสติปัญญา มีสติปัญญาเท่าทันมัน ฝึกหัด เห็นไหม นี่ธรรมสายพิราบ แล้วถ้าจิตสงบแล้วคนมีวาสนานะ เวลาเขาคิดเปรียบเทียบเรื่องกาย แล้วใช้ปัญญาไง เวลาครูบา-อาจารย์ที่ท่านเป็นปัญญาวิมุตติ เห็นไหม พิจารณากายโดยไม่ต้องเห็นกายแต่จิตมีความรู้สึก จิตมีกำลังแล้วเทียบเคียงได้ เทียบเคียงได้แล้วมันเห็นโทษของมันนะ มันปล่อยๆ พอมันปล่อย เห็นไหม มันปล่อยขันธ์นะ คนเราเกิดมามีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ แต่เวลาขันธ์ ๕ มันประกอบไปด้วยหลานของมารนะ พญามารทั้งสิ้น พญามารที่มันครอบงำไปแล้ว เวลามันธรรมชาติของเขา มันเป็นสัจจะเป็นความจริงของมันอยู่อย่างนี้ นี่พูดถึงว่าเรื่องจิตวิญญาณ
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอาสวักขยญาณทำลายอวิชชาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง เวลาวิถีแห่งจิตไง ภวาสวะ ฐีติจิตคืออวิชชา เวลามันออกไป เห็นไหม มันเป็นอารมณ์ความรู้สึกออกไป มันเป็นขันธ์อย่างละเอียด ขันธ์อย่างกลาง ขันธ์อย่างหยาบๆ ไอ้ที่เราจับเราจับด้วยขันธ์แบบหยาบๆ เราจับด้วยความรู้สึกนึกคิด มันเป็นขันธ์อย่างหยาบๆ แต่ต้องจับได้ไง
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการหลานพระสารีบุตร เห็นไหม “ถ้าเธอไม่พอใจอะไร ไม่พอใจอารมณ์ ไม่พอใจวัตถุอะไรทั้งสิ้น เธอต้องไม่พอใจอารมณ์ความรู้สึกของเธอด้วย เพราะอารมณ์ความรู้สึกของเธอก็วัตถุอันหนึ่ง” มันเป็นข้อเท็จจริงเป็นสัจธรรม ที่คนที่มีสติปัญญา มีการฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ เขาจะรู้จริงและเห็นจริงของเขา นี่ไง ธรรมสายพิราบไง ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมามันจะเกิดสติเกิดปัญญา ถ้าเกิดสติเกิดปัญญานี่วิปัสสนา เวลาใช้ปัญญาอบรมสมาธิๆ ก็เป็นปัญญาแขนงหนึ่ง
เวลาจิตมันสงบแล้วนะ สงบซ้ำสงบจนตั้งมั่นจนมีกำลังของมัน แล้วถ้ามันเห็นรูป จับรูป จับอารมณ์ความรู้สึกนั่นน่ะ พอจับอารมณ์ความรู้สึก จิตเห็นอาการของจิต ถ้าจิตเห็นอาการของจิต มันมีสติปัญญาแยกแยะแล้ว อารมณ์ประกอบไปด้วยอะไร อารมณ์ความคิดเนี่ย เวลามันทุกข์มันยากเนี่ย มันประกอบไปด้วยอะไร มันมีอะไรเป็นเชื้อไข มันมีอะไรแยก มีอะไรที่ผูกมัดมัน แล้วมันทุกข์มันทุกข์ยากอย่างไร เวลาพิจารณาไป ถ้ามีกำลังมันพิจารณาได้ มันแยกได้
แต่ถ้าไม่มีกำลัง เห็นไหม มันขืน มันฝืด ถ้ามันพิจารณาไม่ได้มันจืดมันชืด ถ้าสมาธิมันอ่อนลง วาง วางปัญญาที่พิจารณาขันธ์ วางเลย แล้วใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญา อารมณ์สิ่งที่มันเกิดขึ้น สิ่งที่มันความขัดใจขัดข้องหัวใจพิจารณาเลย พิจารณาเป็นปัญญาอบรมสมาธิ เดี๋ยวมันสงบเข้ามา มีกำลังพิจารณาอีกล่ะ นี่ธรรมสายพิราบ ถ้าทำไม่ถูกต้องชอบธรรมมันก็ล้มลุกคลุกคลานเหมือนกัน เพราะเวลาประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม มันจะเกิดเสรีภาพ เกิดสันติภาพ มันจะต้องจิตเห็นอาการของจิต จิตเห็นโทษของกิเลส กิเลสมันครอบงำหัวใจของตน ด้วยสังโยชน์ ด้วยความผูกมัด แล้วเราจะพิจารณาปลดเปลื้อง พิจารณาโดยแก้ไข
เวลาแก้ไขนะ มันปล่อย เห็นไหม พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ มันมีกำลังขึ้นมา มันจะปล่อยของมัน เวลาปล่อยของมันๆ ชั่วคราวๆ แล้วถ้าพลั้งเผลอปล่อยปละละเลย เสื่อมหมดๆ ถ้ามีอำนาจวาสนา เขาก็จะมาเริ่มต้นฝึกหัดประพฤติปฏิบัติของเขาขึ้นมาให้เป็นแนวทางของเขา ถ้าเป็นแนวทางของเขา ถ้ามีวาสนาก็จับต้องได้พิจารณาได้ไง ถ้าจับต้องพิจารณาได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ เวลามันขาด ขาดชัดๆ นี่ไง ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ ถ้าเขาขาดไป เห็นไหม มันมีวุฒิภาวะ มันมีคุณธรรม
เวลา เห็นไหม วุฒิภาวะกับคุณธรรมในใจ ถ้ามันมีวุฒิภาวะ วุฒิภาวะมันรู้ชัดเจนของมัน ถ้ารู้ชัดเจน ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ เวลามันขาดนะ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส เวลาทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ ดับด้วยมรรค ๘ เวลามันดับทุกข์ นิโรธดับทุกข์ ขณะมันเกิดทันที ถ้าขณะนี่เขาเรียกว่าสมุจเฉทปหาน เพราะมีสมุจเฉทปหาน วิปปยุต สัมปยุต เข้ามาในหัวใจของตน มันเกิดภูมิไง ปฐมภูมิ มีวุฒิภาวะ ถ้ามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาในหัวใจของตน นี่ธรรมสายพิราบ เวลาเป็นจริงเป็นจังขึ้นมามันรู้ชัดเจนขึ้นมาในหัวใจ มันมีภูมิ
เวลาของเรา เห็นไหม ปุถุชนคนหนามีภูมิอะไร ภูมิกิเลส กิเลสย่ำยี กิเลสเหยียบย่ำทำลายอยู่นี่ มันเป็นสิ่งที่เป็นนามธรรม เป็นรูปนาม รูปก็ร่างกาย นามก็จิตใจ แล้วไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอัน แล้วไม่มีสิ่งใดเป็นประโยชน์กับใคร มันไม่มีภูมิอะไรเลย มีภูมิก็เป็นภูมิของปุถุชน ปุถุชนคนหนาจับต้องสิ่งใดไม่ได้ อากาศธาตุ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นก็เป็นเรื่องขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราศึกษามาค้นคว้ามาจับต้นชนปลายสิ่งใดไม่ได้ จับต้องสิ่งใดไม่เป็นชิ้นเป็นอันเลย ไม่มีภูมิ ปุถุชนคนหนา
เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันมีสติมีปัญญา เห็นไหม รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร ถ้ามันมีวุฒิภาวะ เห็นไหม มันมีภูมิของมัน ทำไมถึงปุถุชนล่ะ ทำไมถึงเป็นกัลยาณชนล่ะ กัลยาณชนเพราะมันรู้เท่าหมดไง มีสติปัญญาเท่าทันหมดไง ถ้ามีสติปัญญามันมีภูมิมีวุฒิภาวะ แล้วถ้าทำความสงบของใจ กัลยาณชนๆ ถ้ามันฝึกหัดปฏิบัติจิตเห็นอาการของจิต มันจับได้หมดล่ะ
ถ้าไม่มีวุฒิภาวะไม่มีภูมิมันเป็นอารมณ์ มันความคิดทั้งหมดล่ะ มันเป็นเรื่องของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แต่เพราะเรามีอำนาจวาสนา เราฝึกหัดปฏิบัติ ธรรมสายพิราบ พุทโธๆๆ เราพุทโธไม่ได้ เราทำของเราแล้วมันไม่ประสบความสำเร็จ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เพียงแต่ว่าถ้ามันหยุด หยุดบ้าง นี่ไม่มีสิ่งใดเป็นเนื้องาน เราก็พุทโธของเราไป แล้วถ้ามันมีความคิด เราก็จับใช้ธรรมสายพิราบ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิต่อเนื่องไปๆ มันก็ปล่อยวางๆ พอจิตสงบระงับมีกำลังแล้วถ้ามันจับได้ ถ้าจับไม่ได้นี่ก็เป็นอารมณ์ ถ้าจับได้มันเป็นขันธ์
นี่ขันธ์ ๕ ขันธมาร มันเป็นขันธ์ของมาร แล้วเราก็เอาสิ่งที่มารมันยึดครองนั่นแหละมาพิจารณาแยกแยะ แยกออกเป็นขันธ์ ๕ เลย เห็นเลยรูปเป็นอย่างนี้ รูปเป็นอารมณ์สำเร็จรูป อารมณ์ที่สมบูรณ์แบบคือรูป แล้วพอใจทุกข์สุขนั้นเป็นเวทนา แล้วมันเกิดได้อย่างไร ถ้าไม่มีสัญญา ตัวสัญญาคือตัวร้ายกาจ สัญญามันเป็นสัญชาตญาณเลย แล้วมันหมุนไปด้วยอะไร ถ้าไม่มีตัวปรุงให้มันเป็นความถูกต้องชอบใจได้ แล้วถ้ามันไม่มีวิญญาณรับรู้ ขันธ์ ๕ แยกแล้วแยกเล่า แยกแล้วแยกเล่า แยกไม่ได้ ในรูปก็ขันธ์ ๕ ในเวทนาก็ขันธ์ ๕ ในสัญญา แยกขันธ์ซ้อนขันธ์ แยกเข้าไปเป็นชั้นๆ เข้าไป จนถึงที่สุดมันปล่อยๆ มันปล่อยมีปัญญานะ
เวลาว่าสันติภาพ เสรีภาพนั้นเป็นธรรมะขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเรากิเลสเต็มหัวใจ แล้วเราก็มาพินิจพิจารณาให้มันเป็นเสรีภาพเป็นสันติภาพ สันติภาพกิเลสมันย่ำยีเอาทั้งนั้น กิเลสไม่เคยไว้หน้าใคร กิเลสไม่เคยปล่อยให้จิตดวงใดพ้นจากอำนาจมันไปทั้งสิ้น แต่เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิจนจิตเราปล่อยวาง จิตเราปล่อยวางบ่อยครั้งเข้าๆ มันตั้งมั่นของมัน ถ้าตั้งมั่นของมัน มันจิตเห็นอาการของจิต เห็นขันธ์ ขันธ์ ๕ ขันธมาร แล้วขันธมารมันมีมาร มันมีกิเลส มันมีมารมีกิเลสมันถึงมีกำลังไง มันถึงพยายามบังคับ หรือขู่เข็ญจิตดวงนี้มาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติไง
แต่ในปัจจุบันนี้เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธ-ศาสนา เรามีอำนาจวาสนาของเรา เราฝึกหัดปฏิบัติของเราจนจิตของเรา เห็นไหม เป็นปัญญาอบรมสมาธิ ก็มันเป็นปัญญาของโลก ปัญญาสัญชาตญาณ เราพิจารณาของเราซ้ำแล้วซ้ำเล่ามันปล่อยมันวางขึ้นมา มันเป็นอิสระเป็นสิทธิมีสันติภาพในใจของตน สันติภาพแล้วถ้ามันเห็นกิเลส พญามารๆ ที่มันลึกลับซับซ้อนอยู่หัวใจของเรา ถ้าเราจับต้องได้เราพิจารณา เราพิจารณากิเลสไง เราจะฆ่ากิเลสไง เราจะทำลายกิเลสไง
การเบียดเบียนการทำลายการต่างๆ การผิดศีลผิดธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าห้าม ห้าม ห้ามไม่ให้ทำทั้งสิ้น เพราะมันก่อเวรก่อกรรม คนไม่มีอำนาจวาสนาภาวนาให้จิตสงบ มันยังทำความจิตสงบไม่ได้
ถ้าจิตสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา เห็นไหม นี่คืออำนาจวาสนา นี่คือมรรคคือผลไง ที่บอกว่า “เวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว มรรคผลมันมีอยู่จริงหรือ เทวดา อินทร์ พรหมมีหรือเปล่า ภพชาติมีจริงหรือไม่มีจริง” เวลาใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เวลาธรรมสายพิราบ เวลามันสงบระงับแล้วจริงหรือไม่จริง รู้แจ้งในใจของตน ชัดเจน ชัดเจนในการประพฤติเพราะมันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก มันเป็นข้อเท็จจริง มันเป็นตัวจริงๆ มันเป็นเรื่องจริงๆ ไม่ใช่เรื่องเล่า ไม่ใช่จำมา เพราะจำมา เห็นไหม เลยล้มลุกคลุกคลานมาตลอดไง
แต่เวลาฝึกหัดประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม มันเป็นธรรมสายพิราบ เป็นการประพฤติปฏิบัติด้วยทางปัญญา เวลาฝึกหัดปฏิบัติ เวลามันขาด นิโรธ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ เพราะมันขาดออกไป มันขาดออกไปจากจิต มันเป็นขันธ์อย่างหยาบ มันเป็นรูปเปลือกนอก รูปเปลือกนอกจากจิตที่เป็นปุถุชนคนหนาจนเป็นกัลยาณชนมีสติมีปัญญา มีกำลังจนจับเปลือกนอกขันธ์นอกได้ แล้วพิจารณาด้วยสติด้วยปัญญาซ้ำแล้วซ้ำเล่า มารกลัวสติ กลัวสมาธิ กลัวปัญญา มารไม่เคยกลัวอะไร กลัวธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราก็จำมา เราก็พร่ำเพ้อ เราก็ทำด้วยความยอมจำนน แล้วเราก็เติบโตขึ้นมาไม่ได้
แต่ถ้าเรามีสติปัญญาขึ้นมา เห็นไหม จากปุถุชนเป็นกัลยาณชน เห็นสติปัฏฐาน ๔ นั่นโสดาปัตติมรรคจะเป็นบุคคลคู่ที่ ๑ แล้วใช้สติใช้ปัญญาพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ ด้วยวิปัสสนา ด้วยสติด้วยปัญญา ปัญญาในมรรค ๘ วิธีการดับทุกข์โดยมรรค ๘ โดยธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ เวลามันขาด ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ แยกกันออกไปเป็นสัจจะเป็นความจริง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ” เพราะสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นคือจิตสงบแล้วเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง แล้วใช้สติใช้ปัญญาของตน ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา ปัญญาเกิดจากสัมมาสมาธิ เกิดจากจิต เกิดจากจิตที่ตั้งมั่น เกิดจากจิตที่มีกำลัง แล้วพิจารณาไปเป็นครั้งเป็นคราวๆ เป็นครั้งเป็นคราว
ถ้าปัญญาอบรมสมาธิมันก็เป็นความสุขความสงบ ถ้ามันใช้ปัญญาวิปัสสนามันยิ่งเวิ้งว้าง มันยิ่งมหัศจรรย์กว่าปัญญาอบรมสมาธิเป็นไหนๆ แล้วพิจารณาไปถึงที่สุดเวลามันขาด ขันธ์อย่างหยาบ เวลาจะเอาจริงเอาจังขึ้นมาทำความสงบของใจเข้ามา หรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิก็ได้ เวลาใช้พุทโธก็ได้ ใช้คำบริกรรมก็ได้ ถ้าจิตสงบแล้วถ้ามันจับขันธ์อย่างกลาง ถ้ามันจับไม่ได้มันก็พิจารณาไม่ได้ ถ้ามับจับกิเลสไม่ได้ ไม่รู้จักกิเลส มันจะเอากิเลสมาพิจารณาได้อย่างไร หลานของกิเลสไง
แล้วลูกหลานของมัน แล้วจะเอาความจริงความจังขึ้นมา กิเลสมันอย่างละเอียดขึ้นไป เวลามันจะจับของมันได้ ถ้ามันจับของมันได้ มันจับอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมด ความคิดนี่แหละ อารมณ์ความรู้สึก อารมณ์ความรู้สึกคือกิเลส แต่ถ้ามันจับแล้วมันเป็นรูป มันเป็นขันธ์ เพราะสติปัญญามันแบ่งแยกแยกแยะได้ พอมันแบ่งแยกแยกแยะได้มันไปไม่ได้ มารมันจะใช้ขันธ์ ๕ เป็นเครื่องมือเข้าไปหาผลประโยชน์คือทำความชั่ว เข้าไปเพื่อเป็นเหยื่อของพญามาร สติปัญญามันปิดมันล้อม มันพิจารณาของมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้าซ้ำแล้วซ้ำแล้วมันพิจารณาอย่างไร พิจารณาความรู้สึกนึกคิดทั้งหมด คิดเรื่องอะไร ผูกมัดเรื่องอะไร ทุกข์ยากเรื่องสิ่งใด
สิ่งที่เป็นนี่พิจารณานาม พิจารณารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นขันธ์ เวลาเป็นขันธ์ ขันธ์อย่างกลางพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยสติด้วยปัญญาของตน เวลามันปล่อยวาง มันปล่อยเหมือนกัน มันปล่อยด้วยวิปัสสนา วิปัสสนารู้แจ้งในหัวใจของตน ในหัวใจของตน เห็นไหม สัญญาอารมณ์เกิดจากจิตไม่ใช่จิต เวลาพิจารณามันเป็นขันธ์ ขันธ์อย่างกลางเพราะอะไร เพราะมันเป็นสัจจะเป็นความจริง มันข้อเท็จจริงของสิ่งมีชีวิต ข้อเท็จจริงของหัวใจเพราะอะไร
เพราะเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม อาสวักขยญาณทำลายอวิชชาในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าไง นี่ไง สิ่งที่ทำลายๆ ทำลายเพราะสิ่งที่ว่าบุคคล ๔ คู่ บุคคล ๔ คู่พิจารณาไปเพราะว่าสังโยชน์ ๑๐ สิ่งที่สังโยชน์ ๑๐ นั่นคือเครื่องร้อยรัดที่ผูกมัดหัวใจ อยู่ภายใต้ของพญามารทั้งสิ้น เวลาอยู่ใต้พญามาร เห็นไหม จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไม่มีวันตาย ไม่มีวันตายเพราะไปตามเวรตามกรรม ตามเวรตามกรรมคือการกระทำของปุถุชนคนหนา
แต่เวลามีอำนาจวาสนาขึ้นมาแล้วเราก็เป็นปุถุชนเหมือนกัน แต่เวลาเรามาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราจะฝึกหัดปฏิบัติของเราให้เป็นความจริงของเรา เพราะธรรมะขององค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้ทาง เราต่างหากเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแล้ว สิ่งที่ถ้าเป็นประเพณีวัฒนธรรมของชาวพุทธเราก็รู้เราก็เห็น
แต่ถ้ามีวาสนาเพราะมันจะฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมาเลย มันเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาจากจิตของตน ถ้าจิตของตน จิตใจเป็นใหญ่ จิตใจถ้าฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมา ถ้าไม่มีศรัทธาไม่มีความเชื่อมันจะทำไหม เวลามีศรัทธาความเชื่อขึ้นมามันจะทุกข์ยากขนาดไหน เผชิญกับความทุกข์เลย เวลากิเลสที่มันจะข่มขี่ข่มเหงขนาดไหน เรามีสติมีปัญญาต่อสู้กับมัน ด้วย! ธรรมสายพิราบ ด้วยความนุ่มนวล ด้วยความผ่อนปรน เห็นไหม ต่อสู้ด้วยสติด้วยปัญญา เราไม่ได้ต่อสู้ด้วยกำลังด้วยการเอาชนะคะคาน ไอ้นั่นมันเป็นจริตนิสัยของคน
ถ้าธรรมสายพิราบๆ มันมีสติมีปัญญาอย่างนั้น ถ้ามันจับต้องได้ จะเป็นกาย เป็นเวทนา เป็นจิต เป็นธรรม แต่เป็นนามธรรม ถ้าเป็นเจโตวิมุตติมันเป็นรูปชัดเจน มันชัดเจน ชัดเจนเพราะว่าสิ่งที่เป็นอุคคหนิมิต มันเป็นวิภาคะ รูปนั้นมันจะแปรสภาพ มันจะทำลายตัวมันเองเป็นไตรลักษณ์
แต่ถ้ามันพิจารณาจิตๆ พิจารณาโดยสายพิราบ มันจับต้องของมัน มันรู้มันเห็นของมันตามความเป็นจริงของมัน มันอยู่ที่วุฒิภาวะไง มันอยู่ที่ภูมิของจิต ถ้าภูมิของจิตมันมีภูมิแล้วปฐมภูมิได้แล้ว มันจะทุติยภูมินั่นน่ะ มันจะพิจารณาฝึกหัดปฏิบัติขึ้นไปให้ภูมิมันสูงส่งขึ้น ถ้ามันสูงส่งขึ้นพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าเวลามันปล่อย ปล่อย ปล่อยอย่างนั้นแหละ แล้วเวลาสมุจเฉท-ปหานมันขาด แล้วอย่างนี้ทำอย่างไรล่ะ ภาวนาเป็นก็ฝึกหัดโดยข้อเท็จจริงของตน ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเวลามันขาด! กายเป็นโพธิ จิตเป็นกระจกใส กายกับจิตแยกออกจากกัน โลกนี้ราบหมดเลย นี่ไง ธรรมสายพิราบ ก็มีวุฒิภาวะมีภพมีภูมิของจิตเหมือนกัน บุคคลคู่ที่ ๒ บุคคลคู่ที่ ๒ กามราคะปฏิฆะอ่อนลง แล้วเวิ้งว้าง จิตมันเลื่อนลอยอยู่เหนือโลกเลยแหละ มันมีความมหัศจรรย์ในใจของตน
ใจของตนที่ล้มลุกคลุกคลานที่ไม่มีอำนาจวาสนา เวลามันปฏิบัติขึ้นมาถ้ามีสติมีปัญญาไง มีสติปัญญาเราก็ปฏิบัติโดยธรรมสายพิราบด้วยสติด้วยปัญญาด้วยปัญญาวิมุตติ เวลาฝึกหัดเวลามันขาด กายเป็นโพธิ จิตเป็นกระจกใส กามราคะปฏิฆะอ่อนลงโดยชัดเจน รู้ท่ามกลางหัวใจของตน มันมีวุฒิภาวะมีภพมีภูมิ ภูมิของใจ ภูมิของใจมันเกิดขึ้นได้อย่างไร เกิดขึ้นเพราะตัดสังโยชน์ไง ไอ้สิ่งที่ผูกมัดที่มันย่ำยีอยู่นั่น มันขาดกระเด็นออกไปจากใจ มันเป็นความมหัศจรรย์ จิตมันลอยขึ้นมาด้วยความเป็นอิสระเลย สันติภาพ สันติภาพเกิดจากวิปัสสนาญาณ ไม่ใช่สันติภาพเกิดจากท่องบ่นเพ้อเจ้อ สันติภาพอย่างนั้นสันติภาพของกิเลส กิเลสมันเอามาหลอกลวงให้ยอมจำนนอยู่กับมันไง แต่จิตของเราที่มันเป็นความจริงปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ยอดเยี่ยมมหัศจรรย์มาก
เวลาจิตมันเป็นนะ บุคคลคู่ที่ ๒ เหมือนกัน แล้วถ้าไม่มีครูบาอาจารย์มันจับต้นชนปลายอย่างไร เพราะ เพราะการแสวงหาภพภูมิที่ละเอียดลึกซึ้ง ขันธ์อย่างหยาบ ขันธ์อย่างกลาง ขันธ์อย่างละเอียดล่ะ ปฏิฆะ กามราคะ ปฏิฆะคือกามฉันทะ ความพอใจของจิตนั้น จิตนั้นอยู่ในอำนาจของพญามาร ถ้าอยู่ในอำนาจของพญามารนั้นคือพ่อของกิเลสแล้ว พ่อของกิเลสเพราะเป็นความโลภ ความโกรธ ความหลง ความโลภ ความโกรธ ความหลงนี้เป็นกองทัพใหญ่ของเจ้าวัฏจักร เป็นแม่ทัพที่ควบคุมกองทัพของเขาทั้งสิ้น นี่เป็นขันธ์อย่างละเอียด ละเอียดเพราะมันมีปฏิฆะไง เพราะข้อมูลไง มันก็เป็นขันธ์ไง เวลาถ้าเป็นสัจจะความจริง เวลามันจะรื้อค้น การรื้อค้นหากิเลสนี้เป็นงานอันยิ่งใหญ่นะ เรารู้ว่ามีบุคคลคนหนึ่งทำความผิดอยู่ แต่เราหาบุคคลคนนั้นไม่ได้ แล้วเราจะเริ่มต้นไต่สวนสอบสวนเขาได้อย่างไร เราถ้ามีอำนาจวาสนามันก็ทบทวนอยู่ว่าเรายังมีกิเลสอยู่ เรายังมีกิเลสอยู่ แล้วจะทำอย่างไรจะเห็นหน้ากิเลสได้ล่ะ
สิ่งที่เป็นกิเลส “เราก็ได้ปล่อยวางหมดแล้ว รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เราก็ได้วางหมดแล้ว แล้วที่เราอยากจะแสวงหากิเลส แสวงหาไม่ได้ เราก็เสียใจทุกข์ใจ” ไอ้นั่นมันคืออะไรล่ะ มันละเอียดลึกซึ้งจนเราเองก็งง คนที่ประพฤติปฏิบัติมันก็แปลกใจ เพราะวุฒิภาวะภพภูมิคู่ที่ ๒ มันก็เป็นการยกยอยกย่องขึ้นมาให้ตัวเองอยู่ในภพในภูมิที่สูงส่ง แล้วมันก็เวิ้งว้าง มันก็เบา ผ่องใสของมันอยู่อย่างนั้น แต่เราจะไปสิ่งที่ละเอียดเราจับต้องได้อย่างไร เราจะศึกษาอย่างไร เราจะค้นคว้าอย่างไร
ถ้ามีครูบาอาจารย์คอยชี้แนะคอยควบคุมดูแล “มันอยู่นั่น มันอยู่นั่น ของมันมี มันต้องมีสิ หาให้เจอ ต้องหาให้เจอ คนคนนั้นต้องเจอ” คนเจ็บไข้ได้ป่วยไปหาหมอ หมอวินิจฉัยแล้วจะเป็นโรคนั้นโรคนี้ขึ้นมาไง เราเป็นคนวินิจฉัยของเราเองว่า กิเลสของมันอยู่ที่ไหน ถ้าเราวินิจฉัยของเราไม่ได้ เราจับต้องไม่ได้ มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกไม่ได้ กิเลสในหัวใจของใคร บุคคลคนใดต้องแสวงหากิเลสของตนให้เจอ ถ้าแสวงหากิเลสของตนไม่เจอ ครูบาอาจารย์ท่านจะมีเคล็ด มีวิธีการ มีมุก ให้เราพลิกกลับมาหาให้ได้ ถ้ามันหาให้ได้มันต้องฝึกหัดให้มันมีสติมีปัญญามากขึ้น
เพราะสติปัญญามากขึ้นมันจะเป็นมหาสติ มหาสติ เห็นไหม ฟุตบอลมันเป็นโทษ ๒ จังหวะ กับโทษจังหวะเดียว กิเลสที่มันออกมา เห็นไหม วิถีแห่งจิต จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส วิถีแห่งจิตที่มันมีแต่ความรู้สึกนึกคิดที่ว่าละเอียดๆ ไอ้ที่นั่นมันหยาบๆ เข้าไปข้างในขันธ์อย่างละเอียด มันแทบจะจับต้องสิ่งใดไม่ได้เลย เห็นไหม เวลาโทรศัพท์ไง คลื่นไง รู้ได้ด้วยเทคโนโลยีจับต้องได้ว่ามีหรือไม่มี แล้วความรู้สึกนึกคิดแล้วเอาอะไรไปจับไปคิดมันล่ะ แบตฯ ก็หมด โทรศัพท์ก็เสีย ทุกอย่างขาดตกบกพร่องไปหมดเลย แล้วเราปฏิบัติอย่างไร
ไอ้นี่มันเป็นวิถีแห่งจิต มันเป็นความรู้สึกนึกคิด มันเป็นจิตเป็นนามธรรมที่ใครก็รับรู้กับเราไม่ได้ เวลาเรามีความคิด รู้หน้าไม่รู้ใจ ใจเราคิดอะไร จริตนิสัยเป็นอย่างไร สิ่งที่สะสมหมกมุ่นในใจมันประเภทใด แล้วประเภทอย่างนั้นมันเกิดมาจากไหน แล้วสิ่งใดจะจับต้องมันได้ นี่ฝึกหัดๆ มันจะเป็นโทษจังหวะเดียว กระทบ ถ้าเป็นขันธ์อย่างหยาบ อย่างกลาง มันยังมีสิ่งที่จะเป็นหนทางที่จับต้องได้ เวลามันอย่างละเอียดนะ มันถึงต้องเป็นมหาสติ สติมหัศจรรย์มาก
แล้วฝึกหัดค้นคว้านะ ถ้ามันจับขันธ์อย่างละเอียดได้ โอ้โฮ! มันสะเทือนมาก สะเทือนหัวใจมาก มันสะเทือนหัวใจ แล้วถ้าผู้ที่ฝึกหัดประพฤติปฏิบัติตรงนี้นะ มันจะต้องแบบมหาสติ แล้วความพลิกแพลงของกิเลสรุนแรงมาก รุนแรงเพราะถ้าฝึกหัดปฏิบัตินะ เอากันด้วยการทุ่มเท เป็นก็เป็น ตายก็ตาย ถ้าไม่ได้ฝึกหัด ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติจะไม่ยอมท้อแท้ สู้เต็มที่ นี่นักรบ ถ้าจะไปรบไง รบโดยนี่ทางสายพิราบนะ ทางสายเหยี่ยวก็หนักหนาสาหัสสากรรจ์ไปตามจริตนิสัยของตน ทางสายพิราบเพราะว่ามันเป็นปัญญาชนไง มันมีสติ มันมีปัญญาไง แล้วปัญญามันเยอะ ศึกษามามาก แล้วมีความรู้มาก แล้วมันจะมีจริงหรือไม่ มันจะเป็นหรือไม่เป็น
มหาสติ เวลามันจับต้องได้สะเทือนมาก แล้วพอสะเทือนแล้วเพราะจับผู้ร้ายได้ จับกิเลสได้ กิเลสมันออกฤทธิ์เต็มที่ มันจะทำสิ่งใดมันก็จะเป็นเรื่องกามราคะ เพราะเราจะไปเผชิญหน้ากับอสุภะและกามราคะ กามราคะมันเป็นจอมทัพ ความโลภ ความโกรธ ความหลง หลงในกามฉันทะ หลงในตัวเอง ถ้าไม่หลงตัวเองมันก็จะไม่ไปหลงภายนอก เพราะมันหลงตัวมันเอง แล้วยังคิดว่า สิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นประโยชน์กับตนทั้งสิ้น
นั่นไง สิ่งที่เจ้าวัฏจักรมันเป็นเชื้อเป็นไขจากภายใน ถ้าเป็นเชื้อเป็นไขจากภายใน มหาสติ มหาปัญญาแยกแยะ เห็นไหม สิ่งที่เป็นโทษ สิ่งที่เป็นกลยุทธ์ สิ่งที่ี่กิเลสมันพลิกมันแพลง ต้องเท่าทันหมดล่ะ มันพลิกมันแพลงนะ ล้มลุกคลุกคลาน การวิปัสสนา การภาวนา เวลาเข้าไปเผชิญหน้ากับกิเลส เห็นกิเลสอยู่ชัดๆ เอาไม่อยู่หรอก ฝึกหัดซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ มีชนะบ้าง แพ้บ้าง แต่ส่วนใหญ่แพ้ แพ้แล้วมันพลิกแพลงด้วย
จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตนี้ไม่เคยตาย แล้วกิเลสมันเป็นเจ้าวัฏจักร มันยาวไกลขนาดไหน แล้วเรามีสติมีปัญญามากน้อยขนาดไหนที่ไปรู้ไปเห็นได้ แล้วมันรู้มันเห็นขึ้นมา เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ เราเป็นคนชี้ทางเท่านั้น ปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ ไอ้สัตว์ตัวนั้นต้องฝึกหัดปฏิบัติเอง แล้วไอ้สัตว์ตัวนั้นมันมีวาสนามากน้อยขนาดไหน เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันล้มลุกคลุกคลานมาตั้งแต่ต้น แล้วมันปฏิบัติไปแล้ว เห็นไหม ขันธ์อย่างกลาง ขันธ์อย่างละเอียด ละเอียดยิบยับอยู่ในใจเลยล่ะ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ เวลามันขาดนะสะเทือนเลือนลั่นเลยล่ะ เพราะจิตดวงนี้ไม่เกิดตั้งแต่กามภพลงมา พ้นจากวัฏฏะ กามภพ รูปภพ อรูปภพ ยังจะต้องไป ถ้ายังจะต้องไปคือตัวเองไม่รู้ไม่เห็นมันถึงไป แต่ถ้ามันชัดมันเจนมันจะไปไหม
ถ้ามันจะต้องไป เห็นไหม ต้องไป ถ้ามีครูมีอาจารย์ส่งเสริม พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่ามันจะทำให้เศษส่วน เห็นไหม เพราะอนาคา ๕ ชั้น สุทัสสา สุทัสสี มันไปของมันเป็นชั้นๆ พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันมีเคล็ดลับ มันมีความมหัศจรรย์คือจิตดวงนั้น แล้วผู้ที่ปฏิบัติตามความเป็นจริงมันทำให้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ละเอียดขนาดไหน ขันธ์ที่ละเอียดสำรอกจนสิ้น! จบเลย กลายเป็นตอ
นี่ไง ขันธ์อย่างหยาบ ขันธ์อย่างกลาง ขันธ์อย่างละเอียด แล้วสิ่งนี้อวิชชาอยู่ที่ฐีติจิต ฐีติจิตนี้คือตัวจิตเดิมแท้ จิตเดิมแท้ที่มีขันธ์ครอบงำไว้ ๓ ชั้น แล้วตัวของฐีติจิตใสบริสุทธิ์ สิ่งที่ว่าผ่องใสๆ ปฏิบัติไปบูชาอวิชชาทั้งสิ้น มีสติมีปัญญานะ มันเป็นญาณแล้ว เป็นขันธ์ไม่ได้ ขันธ์คือขันธ์ ความคิดคือความคิด ความคิดประหัตประหารกับพญามาร ลูกหลานของมารเท่านั้น เจ้าวัฏจักรเอาสิ่งที่เป็นความคิด เพราะความคิดเกิดจากจิตไม่ใช่จิต มันต้องเอาตัวจิต ตัวภพ อวิชชาเกิดบนฐีติจิต อวิชชาอาศัยภวาสวะเป็นที่อาศัย อวิชชาความไม่รู้แล้วตัวภพตัวจิตมันโดนครอบงำ เอาขันธ์เข้าไปเป็นไปไม่ได้
ศีล สมาธิ ปัญญา ก็เรื่องศีล สมาธิ ปัญญา
แล้วปัญญาญาณไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาสวักขยญาณทำลายพญามาร ทำลายอวิชชา นี่ทางธรรมสายพิราบ ด้วยเสรีภาพ ด้วยสันติภาพ ด้วยภราดรภาพจากวุฒิภาวะ จากการกระทำ จากความเพียรชอบ ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะของบุคคลคนนั้น ถ้าทางธรรมต้องบอกว่าของจิตดวงนั้น ไม่ใช่ของใครทั้งสิ้น ของจิตดวงนั้น ของภวาสวะดวงนั้น ทำความมัธยัสถ์สมดุลพอดีด้วยญาณ ทำลายอวิชชา ทำลายอวิชชา เห็นไหม
“มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้า เจ้าจะเกิดบนหัวใจของเราอีกไม่ได้เลย”
นี่พญามาร เห็นไหม เรือนยอดของเรือน ๓ หลัง เรือน ๓ หลัง คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ตั้งแต่กามภพลงไป ได้หักเรือนยอดของเรือน ๓ หลัง คือตัวอวิชชาแล้ว “มารเอย เธอเกิดจากใจดวงนี้อีกไม่ได้ เธอจะค้นคว้าค้นหาขนาดไหน ที่เป็นขี้ข้า ที่ภพภูมิของใจ ทำลายภวาสวะ ทำลายภพ ทำลายภูมิ ทำลายทั้งหมดทั้งสิ้นด้วยธรรมสายพิราบ ด้วยสติ ด้วยปัญญา ด้วยวิปัสสนาญาณ ทำลายภวาสวะ ทำลายภพจบสิ้นจากใจดวงนั้น” เอวัง